กล่าวกันตามตรง ปัญหาชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนรุ่นใหม่ คิอการดิ้นรนไขว่าคว้าสิ่งที่ตัวเองต้องการ ชีวิตแต่ละวันเหมือนต้องมีลิสต์รายการที่ต้องทำหรือที่ขาดหายไป เหมือนเป็น Missing Pieces ที่ไม่เคย Meeting Big
ผมคิดว่ามนุษย์เราไม่ควรนั่งใคร่ครวญเรื่องที่เราขาดสิ่งของสิ่งใดไปในชีวิต ชีวิตเป็นธรรมชาติเหมือนสายน้ำไหล ขาดอะไรก็ไม่ควรคิดเกินปัจจุบันไปนัก มีบ้างที่อาจจะวางแผนอะไรเกี่ยวกับงานการไว้บ้าง เกี่ยวกับบ้านช่องห้องหอไว้บ้าง แต่ไม่น่าจะต้องรู้สึกถึงกับว่าเราขาดอะไรในชีวิต ที่เป็นรูปธรรมอย่างเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน ที่ดินริมน้ำ บ้านสีขาวหลังเล็กๆ อะไรอย่างนั้น ผมมองเห็นชีวิตเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดำเนินไป การกำหนดความสำเร็จของชีวิตไว้อย่างนั้นอย่างนี้ในเวลานั้นในเวลานี้ เป็นปรัชญาชีวิตแบบตะวันตกที่ใฝ่หาความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิต ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าผิดหรือน่ารังเกียจรังงอนอะไร มันก็เป็นรูปแบบชีวิตอย่างหนึ่ง แต่คนตะวันออกไม่เป็นแบบนั้น คนตะวันออกอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราย้อนกลับไปดูสมัยอยุธยา จะเห็นว่าคนจนคนรวยกินเหมือนกัน คนที่รวยที่สุดกับคนที่จนที่สุดกินไม่แตกต่างกันมากนักเพราะบ้านเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ คนไทยปัจจุบันใช้ชีวิตตามปรัชญาตะวันตกกันมาก
ทุกวันนี้ผมมีหน้าที่รับผิดชอบเหมือนคนอื่นๆ เราต้องยอมรับในกติกาของเกมรับผิดชอบ ถึงเวลาต้องทำก็ต้องทำ แต่ในส่วนที่ลึกที่สุดของผมไม่ได้มี”ปณิธาน” ถึงขนาดว่าเวลานี้จะต้องมี จะต้องเป็นอย่างนั้น ต้องมีรถสี่คัน มีตึกหกหลัง เมื่อมองชีวิตเอาเข้าจริงๆ ก็เห็นแค่ว่า เมื่อเราหิวเราก็กิน รู้ว่าขาดอะไรก็เติมไป แต่ไม่รู้สึกว่าขาดอยู่ตลอดเวลา คำถามนี้คิดคำตอบไม่ออกจริงๆ ไม่ได้คิดว่าตัวเองสมบูรณ์จนไม่ขาดอะไรนะครับ มันไม่รู้จะตอบไปทางไหนมากกว่า
“สองสิ่งที่ผมให้ค่ากับมันมากที่สุดก็คือ ความสงบร่มรื่นในชีวิต กับความภาคภูมิใจที่ตัวเองมีประโยชน์ต่อคนอื่น สองสิ่งนี้แม้จะไม่อยู่กับเราตลอดเวลาจะด้วยสถานการณ์หรือเกมชีวิตใดๆก็ตาม แต่เราสามารถหาหรือสร้างมันได้นี่ครับ มันอยู่ในตัวเรานี่แหละ”
<-- พี่จิกให้สัมภาษณ์ในสุดสัปดาห์